บทความที่ 19/2552
มณฑป กรุดเจริญ เรียบเรียง
หากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในปี 2552 ตามที่หลายๆฝ่ายคาดการณ์ไว้
อาจทำให้หลายคนได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไป แต่ถ้าหากได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าวแล้วคิดว่าจะหาทางออกได้อย่างไร
ทิม คณะเสน อาจจะพอเป็นตัวอย่างให้กับผู้ประสบปัญหาดังกล่าวได้
จากชีวิตลูกชาวนาที่นอกจากช่วยครอบครัวทำนาแล้วด้วยความขยัน ทิม
จึงไปรับจ้างขับรถไถนา และแบกข้าวสารจนซื้อรถไถนาขนาดเล็กมารับจ้างได้
และเก็บเงินสะสมเรื่อยมาจนสามารถซื้อรถไถขนาดใหญ่ รถตัก และรถสิบล้ออีก 5 คัน จึงเริ่มหันมาทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถนน รับจ้างถมที่ จนกระทั่งปี 2540
สภาพเศรษฐกิจทรุดทำให้ธุรกิจรับเหมาต้องล้มลงขาดทุนและเป็นหนี้กว่า
20 ล้านบาท ลุงทิม เล่าว่า เมื่อก่อน
มีรถสิบล้อ มีรถตัก มีเงินทอง มีคนนับหน้าถือตา มีเพื่อนเยอะ ตอนไม่เหลืออะไรแรกๆทำอะไรก็หงุดหงิด
แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายยังรู้สึกว่าภูมิใจที่เกิดเป็นคน คิดได้ว่าที่รู้สึกหงุดหงิดเพราะจิตใจไม่สงบ
เป็นคนมีขึ้นมีลงต้องสามารถพลิกวิกฤติได้
เมื่อคิดว่าชีวิตยังไม่สิ้นหวังจึงช่วยกันกับภรรยาผลิตน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร
ใส่ขวดออกจำหน่ายได้ระยะหนึ่งจึงเริ่มไปเช่าที่ดินที่ อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ทำสวนมะม่วง
100 ไร่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากมีแรงงานแค่ 2
คน
ไม่เพียงพอในการทำสวนจึงลองเปลี่ยนมาเลี้ยงกุ้งซึ่งไม่ขาดทุนแต่ก็ไม่ได้กำไรและยังไม่พอกับส่งดอกเบี้ยธนาคาร
จึงตัดสินใจเลิกเลี้ยงกุ้งและขายสมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อนำเงินมาใช้หนี้
แต่ก็ยังเหลืออีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงค้างอยู่แต่ก็ไม่มากมายนัก ถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ก็หาวิธีอื่น
คิดว่าต้องทำอะไรให้อยู่ได้แล้วก็คิดว่าทำไว้สำหรับพออยู่พอกิน และพอได้ขายก็น่าจะพอ
เมื่อก่อนทำเพื่อขายอย่างเดียวถ้ารอขายอย่างเดียวอยู่ไม่ได้ ต้องกินใช้ทุกวัน
ต้องมีรายได้ทุกวัน ทุกเดือน ถึงจะอยู่ได้
จากนั้นปี 2546 ทิม จึงย้ายมาอยู่ที่ บ้านหนองเหียง
ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งลูกได้ซื้อที่ดินไว้ 3 ไร่ ปลูกบ้าน และการทำเกษตรแบบผสมผสานโดยแบ่งพื้นที่ปลูกไม้ผล ทำแปลงปลูกผักปลอดสารพิษ
เช่น มะเขือ คะน้า กวางตุ้ง ถั่วฝักยาว บวบ พริกและอื่นๆ อีกหลายชนิด
แต่เนื่องจากพื้นที่บริเวณ ต.เขาหินซ้อน เป็นดินทรายจัดที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ ปลูกพืชไม่เจริญงอกงามเท่าที่ควร
ผลผลิตต่ำ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงได้เข้าไปส่งเสริมให้มีการปรับปรุงดินโดยใช้อินทรียวัตถุ
รวมทั้งการปลูกหญ้าแฝกเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดิน
หลังได้รับคำแนะนำ ทิม
นำความรู้ที่ได้รับมาใช้ในการวางแผนการปลูกพืชผักต่างๆ อย่างเป็นขั้นตอน
โดยศึกษาสภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม สภาพพื้นที่ว่าเหมาะกับการปลูกผักชนิดใด
มีแหล่งน้ำเพียงพอในการดำเนินการหรือไม่ ใช้แรงงานในครัวเรือนแทนการใช้เครื่องจักร
ดูแลพืชผักในแต่ละช่วงอายุอย่างใกล้ชิด คอยสังเกตและเอาใจใส่ไม่ให้โรคและแมลงรบกวน
เมื่อพืชผักเป็นโรคจะนำชิ้นส่วนของพืชนั้นมาขอรับคำปรึกษาจากนักวิชาการเพื่อหาวิธีการแก้ไข
มีการศึกษาความต้องการของตลาดก่อนปลูกผักและนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์แล้วนำมาใช้ในแปลงของตนเอง
นำหญ้าแฝกมาปลูกระหว่างแปลงผัก และนำใบหญ้าแฝกที่ตัดมาคลุมแปลงเพื่อรักษาความชุ่มชื้น
ไม่มีการใช้สารเคมีในแปลงพืชผัก
โดยคำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นจาการใช้สารเคมีต่อตนเอง บุคคลอื่น
และสภาแวดล้อมที่จะเสื่อมโทรมตามมา
เมื่อเรียนรู้ และปฎิบัติจนเกิดความชำนาญด้านเกษตรอินทรีย์ ทิม คณะเสน
จึงได้ถ่ายทอดความรู้ให้เพื่อนบ้านที่สนใจเป็นประจำโดยไม่หวงวิชาและไม่คิดค่าใช้จ่ายจนได้รับการยกย่องให้เป็น
ปราชญ์ชาวบ้าน และเป็นแกนนำในการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษบ้านหนองเหียง
ได้รับเลือกให้เป็นเกษตรกรตัวอย่างด้านเศรษฐกิจพอเพียงจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ
ทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
เป็นวิทยากรสาธิตการทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ สาธิตการปลูกผักปลอดสารพิษในพื้นที่ที่จำกัดแต่สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้
ส่งเสริมการนำหญ้าแฝกมาใช้ในพื้นที่ร่วมกับการปลูกผักปลอดสารพิษ โดยสาธิตเป็นแบบอย่างในพื้นที่ของตนเอง
อดีตผู้รับเหมาทุนทรัพย์หลายล้านบาท หันมาประกอบอาชีพปลูกผักปลอดสารพิษและใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
มีรายได้จากการจำหน่ายผักประมานเดือนละ 8,000-9,000 บาท
ถึงไม่มากนักแต่ชีวิตมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ได้อยู่กับสภาพแวดล้อมที่ดีปราศจากมลพิษ
ทิม บอกว่า พอใจกับความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
แม้จะมีหนี้สินอยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้ารู้จักใช้ชีวิตแบบพอเพียง
ติดต่อศึกษาดูงาน หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับ ทิม คณะเสน ได้ที่ บ.หนองเหียง
ม.13 ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โทร.089
607 4067