มณฑป กรุดเจริญ
เรียบเรียง
หลังจากเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์ สุริวงศ์ แห้วเพ็ชร
ใช้ความรู้ที่เล่าเรียนมาทำงานอยู่ในโรงงานที่กรุงเทพ โดยคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่งจะต้องกลับมาทำงานที่บ้านเกิด
ใน ต.ทัพหลวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี สุริวงศ์ เล่าว่า เมื่อ
โรงงานน้ำตาลตั้งขึ้นที่ตำบลทัพหลวง ก็ตัดสินใจกลับมาทำงานที่นี่ เพราะอยู่กรุงเทพไม่เหมือนอยู่ที่บ้าน
ได้อยู่กับครอบครัวและที่บ้านก็มีพื้นที่ทำการเกษตรอยากกลับมาทำการเกษตรด้วย
พื้นที่ทำการเกษตรที่มีอยู่ จำนวน 20 ไร่
ส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกอ้อยโดยใช้ปุ๋ยเคมีเป็นหลัก สุริวงศ์ บอกว่า ในสมัยก่อนการทำไร่ส่วนมากจะใช้แต่ปุ๋ยเคมีซึ่งก็ได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ แต่มาระยะหลังนี้ใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้นแต่ผลผลิตกลับลดลง
จึงเริ่มสนใจเกี่ยวกับปุ๋ยอินทรีย์แต่ยังไม่มีข้อมูลมากนัก
จากการทำงานอยู่ในโรงงานน้ำตาลทำให้ สุริวงศ์
สังเกตว่ากากตะกอนอ้อยหรือที่โรงงานเรียกว่า ฟินเตอร์เค้ก
เป็นวัตถุดิบเหลือใช้ที่มีอยู่มากมายจากโรงงานน้ำตาล
ซึ่งน่าจะนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ โดยทดลองนำมาใส่ในไร่อ้อยปรากฏว่าดินดีขึ้น
จึงนำมาคิดและวิเคราะห์รวมทั้งปรึกษากับเจ้าหน้าที่สถานีพัฒนาที่ดินอุทัยธานี เพื่อนำมาเป็นวัสดุหลักในการผลิตเป็นปุ๋ยหมัก
เมื่อได้ปุ๋ยหมักแล้วนำมาใช้กับแปลงอ้อยก็ได้ผลเกินความคาดหมายทำให้ สุริวงศ์
เริ่มมีความมั่นใจในการใช้ปุ๋ยหมักในการปรับปรุงดินให้มีคุณภาพดีและเพิ่มผลผลิต
เมื่อใช้ได้ผลดี จึงได้แนะนำให้เกษตรกรได้ทดลองใช้ก็ได้รับการยอมรับ
จึงได้จัดตั้งกลุ่มขึ้นภายในหมู่บ้านเมื่อปี 2547 มีสมาชิกเริ่มแรก
ประมาณ 50 คน ทำปุ๋ยหมักเพื่อใช้กันเองในกลุ่ม
ต่อมาทางจังหวัดอุทัยธานีได้ให้ความสนใจจึงให้งบประมาณสนันสนุนในรูปของวัตถุดิบและเครื่องจักร
ในการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรเพื่อผลิตปุ๋ยหมักให้กับสมาชิกและเกษตรกรทั่วไปได้ใช้
จนถึงปัจจุบันมีสมาชิก จำนวน 230 คน โดยได้จดทะเบียนกลุ่มกับสหกรณ์จังหวัด
ชื่อว่า กลุ่มเกษตรกรทำสวนทัพหลวง โดยยอดจำหน่ายล่าสุดในปี
2550 ประมาณ 900,000 บาท
สำหรับการผลิตปุ๋ยหมักของกลุ่มดังกล่าว มีส่วนผสม ได้แก่
กากตะกอนอ้อยหรือเศษใบอ้อย จำนวน 1,000 กก. มูลสัตว์ จำนวน 200 กก. สารเร่งซุปเปอร์พด.1
ของกรมพัฒนาที่ดิน 1 ซอง
ซึ่งขอรับได้ที่สถานีพัฒนาที่ดินทั่วประเทศ ส่วนวิธีการกองปุ๋ยหมัก ขั้นตอนแรก นำเศษวัสดุที่จะใช้ทำปุ๋ยหมัก(กากตะกอนอ้อยหรือเศษใบอ้อย)มากองเป็นชั้นแรกขนาดกว้าง
2-3 เมตร สูงประมาณ 30-40 ซม. ย่ำให้แน่นและรดน้ำให้ชุ่ม
ขั้นตอนที่สอง นำมูลสัตว์ประมาณ 50 กก. มาโรยบนชั้นของวัตถุดิบให้ทั่วแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ขั้นตอนที่สาม
นำสารเร่งซุปเปอร์พด.1 ละลายน้ำ รดให้ทั่วกอง ขั้นตอนสุดท้าย
นำเศษวัสดุที่ใช้ทำปุ๋ยหมักมากองทับแล้วนำมูลสัตว์โรยทับให้ทั่วทั้งผิวหน้า เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
การดูแลกองปุ๋ยหมัก
ควรรดน้ำสม่ำเสมอไม่ให้กองปุ๋ยแห้งและแฉะจนเกินไป กลับกองปุ๋ยหมักประมาณ
7-10 วันต่อครั้ง เพื่อเป็นการระบายอากาศและลดความร้อยภายในกองปุ๋ย
ทำให้การย่อยสลายเป็นไปด้วยดี ส่วนปุ๋ยหมักที่เสร็จและนำไปใช้ปรับปรุงดินได้
สีของเศษวัสดุจะมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงสีดำ ลักษณะของวัสดุจะอ่อนนุ่มและเปื่อยยุ่ย
ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นฉุน ความร้อนภายในกองปุ๋ยจะใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอก
จากความสำเร็จ ความรู้ความสามารถ
และการถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรในฐานะหมอดินอาสาทำให้ สุริวงศ์ แห้วเพ็ชร
คว้ารางวัลหมอดินอาสาดีเด่น สาขาการผลิตและการใช้ปุ๋ยหมัก ประจำปี2551 สุริวงศ์ ฝากว่า อยากให้เกษตรกรยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ดำเนินชีวิต
การทำเกษตรต้องคิดว่าจะลดต้นทุนอย่างไร
ไม่จำเป็นต้องใช้กากตะกอนอ้อยใบอ้อยที่เราตัดก็นำมาทำปุ๋ยได้ วัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตรสามารถนำมาทำปุ๋ยได้
การใช้เคมีร่วมกับอินทรีย์จะช่วยลดต้นทุนการผลิต
หากต้องการความรู้เพิ่มเติม หรือทดลองนำปุ๋ยหมักไปใช้ก็สามารถติดต่อ
สุริวงศ์ แห้วเพ็ชร ได้ที่ บ้านเลขที่ 9 ม.12 ต.ทัพหลวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี