นายอัครเดช
บุญผ่องศรี
หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพัฒนาที่ดินโครงการหลวง
บทนำ
ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกยุคโลกาภิวัฒน์
หลายอย่างที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง
ได้นำไปสู่นวัตกรรมใหม่ที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ แต่ในการเปลี่ยนแปลงนั้น
บางอย่างหากละเลย หรือขาดการสร้างภูมิคุ้มกัน
สิ่งใหม่ที่ผลิตได้นั้นจะเป็นเสมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด
ทำให้มนุษย์เองต้องตกอยู่ในภยันตราย และความกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในภายหลัง
เช่นเดียวกันกับการเกษตรในยุคก่อนหน้านี้
นิยมการผลิตโดยการใช้สารเคมีกันอย่างมากมายแพร่หลาย
และส่วนใหญ่ใช้ในปริมาณมากโดยขาดความรู้ความเข้าใจ ซึ่งเปรียบเสมือนละเลยและขาดการสร้างภูมิคุ้มกัน
(Risk management) ปัจจุบันเกษตรอินทรีย์เป็นทางออกของการผลิตอาหารปลอดภัย
(Food Safety) เป็นการเคารพธรรมชาติมากขึ้น
ซึ่งเป็นการอ้างอิงย้อนยุคใกล้ธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่บนหลักเหตุผลอย่างมีสมดุลย์
เพื่อทำให้มนุษยชาติพ้นภยันตรายและความกลัวได้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน
นับว่ามีความสอดคล้องและต้องยึดไว้เป็นหลักสำคัญ นั่นคือ เมื่อจะดำเนินงานอะไร
หลักอันแรกให้ สำรวจศักยภาพตนเอง
หลักอันที่สอง คิดบนหลักเหตุและผล
หลักอันที่สามสุดท้ายต้อง สร้างภูมิคุ้มกัน
เพื่อลดความเสี่ยง
หญ้าแฝกกับโครงการหลวง
โครงการหลวงโดยในหลวงของเรา ทรงประทานแนวทางการดำเนินงานเอาไว้ตั้งแต่ปี 2512
ประการหนึ่งก็คือ ให้มีการผลิตพืชผักและผลไม้
โดยให้ความสำคัญต่อการเคารพธรรมชาติ หรือภูมิสังคมมาโดยตลอด
เน้นใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นที่สูง
เพื่อให้ได้ผลผลิตปลอดภัยจากสารพิษและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การใช้หญ้าแฝกมาปลูกร่วมกับระบบการผลิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา
ก็เป็นอีกวิธีชีวภาพวิธีหนึ่ง ที่ใช้ได้ดีส่งผลให้บนพื้นที่สูง
มีการปลูกหญ้าแฝกจำนวนมาก โดยวัตถุประสงค์เดิม ก็เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน
ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและเสริมความแข็งแรงของระบบการอนุรักษ์ดินและน้ำแบบวิธีกล
ต่อมาความรู้เรื่องการใช้ประโยชน์มีมากขึ้น จึงได้นำหญ้าแฝกไปปลูกขวางร่องน้ำ
บ่อดักตะกอน ไหล่ถนน และบริเวณเกิดดินถล่ม ในปัจจุบันด้วยการมีหมอดินดอยอาสาของกรมพัฒนาที่ดิน
เกษตรกรบ้านนอแล ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหญ้าแฝกเป็นอย่างดี
สามารถแยกหน่อหญ้าแฝกจากแถวปลูกเดิม
ขยายพันธุ์นำไปปลูกตามพื้นที่อื่นได้เองอย่างน่าพอใจ บางครั้งก็ขายกล้าและใบให้กับเกษตรกรรายอื่นที่ปลูกสตรอเบอรี่
เพื่อนำไปปลูกและคลุมแปลง สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดเรียนรู้ให้เกษตรกรหลายจังหวัด
และ เกษตรกรจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงอื่น ๆ รวมทั้งต่างประเทศ
มาศึกษาดูงานเพื่อนำเอาไปเป็นแบบอย่าง
หญ้าแฝกกับการอนุรักษ์ดินและน้ำบนพื้นที่สูง
พื้นที่
ของโครงการหลวงในเขต 6 จังหวัดภาคเหนือ
ส่วนใหญ่จะอยู่บนพื้นที่สูงซึ่งสูงกว่าะดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 500 - มากกว่า1,000 เมตร
การปลูกหญ้าแฝกจะปลูกเป็นแนวขวางความลาดชัน ระยะห่างขึ้นอยู่กับความลาดชัน
พื้นที่มีความลาดชันน้อย ระยะแถวหญ้าแฝกที่ปลูกก็จะห่าง
แต่ถ้าพื้นที่มีความลาดชันมากขึ้น ระยะแถวหญ้าแฝกที่ปลูกก็จะถี่ขึ้น
โดยปกติจะใช้ค่าต่างระดับระหว่าง 1.50 เมตร
ในพื้นที่ที่จัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำแบบขั้นบันไดดิน หรือแบบคูรับน้ำขอบเขา
หรือคันดินบนพื้นที่สูง ก็ให้ปลูกหญ้าแฝกตามขอบขั้นบันได หรือขอบคูรับน้ำขอบเขา
หรือขอบล่างคันดินเพื่อช่วยยึดโครงสร้างให้มั่นคงขึ้น ระยะปลูกระหว่างต้น 5
ซม. บนระบบแนะนำและส่งเสริมให้ปลูกไม้ผลเมืองหนาว
|
|
การปลูกหญ้าแฝกขอบขั้นบันได
|
การปลูกหญ้าแฝกขอบคูรับน้ำขอบเขา |
หญ้าแฝกกับแมลงศัตรูพืชผัก
มีคำบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่สถานีพัฒนาที่ดินแม่ฮ่องสอนมาว่า
ดั้งเดิมชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงจังหวัดแม่ฮ่องสอน เขาใช้รากหญ้าแฝกหอม มัดเป็นกำวางรองก้นตระกร้าเก็บเสื้อผ้า
หรือวางไว้ในตู้เสื้อผ้า เพื่อขับไล่แมลง
และมีเกษตรกรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในพื้นที่โครงการพระราชดำริขุนยวม อำเภอขุนยวม
จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ทำการขยายพันธุ์หญ้าแฝกให้โครงการฯ สังเกตพบว่า
พื้นที่ที่ใช้ขยายพันธุ์นั้น เดิมมีปลวกอาศัยอยู่ หลังจากการปลูกหญ้าแฝกแล้ว
ไม่มีปลวกอาศัยอยู่อีกต่อไป เกษตรกรคนนี้จึงได้นำหญ้าแฝก
ไปปลูกในพื้นที่ทำการเกษตรของตนเอง ผลที่ได้รับก็คือ สามารถไล่ปลวกได้เช่นเดียวกัน
การสำรวจปริมาณแมลงศัตรูพืชผักในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ใช้วิธีการสังเกต(Observation method) ของเจ้าหน้าที่ศูนย์อารักขาพืช
มูลนิธิโครงการหลวง สำหรับแปลงสวนอินทรีย์ บ้านนอแล ตำบลม่อนปิน อำเภอฝาง
จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ 1 ใน 17 แห่ง ที่ผลิตผักอินทรีย์ออกจำหน่ายในตราดอยคำ
ก็มีการสำรวจแมลงศัตรูพืชผักด้วย ชนิดของผักอินทรีย์ที่โครงการหลวงผลิตมีมากถึง 27
ชนิด สำหรับสวนอินทรีย์พื้นที่ 165 ไร่
แบ่งเป็นแปลง A B และ C ซึ่งแปลง A
มี 73 ไร่ B มี 32
ไร่ C มี 60 ไร่
ตามลำดับ เมื่อกลางปี 2546 ได้ปลูกหญ้าแฝกไปทั้งหมดจำนวน 760,389
กล้า พบว่าหลังจากปลูกหญ้าแฝกตามขอบของระบบอนุรักษ์ดินและน้ำแบบขั้นบันไดดิน
ได้ 1 ปีเศษ ในกลางปี 2547 เกษตรกรก็เริ่มได้ใช้ประโยชน์จากใบหญ้าแฝก
และเกี่ยวใบที่ความสูงระดับ 30 40 ซม.
ได้ปริมาณมากขึ้นในปี 2548 และปี 2549
|
|
การเกี่ยวหญ้าแฝกเพื่อเตรียมใช้ประโยชน์ |
ส่วนหนึ่งของใบหญ้าแฝกที่เกี่ยวได้
นำไปคลุมแปลงผัก และบางครั้งหากมีใบที่เกี่ยวได้มาก ก็จะนำไปทำปุ๋ยหมัก
โดยใช้สารเร่ง พด. 1 ช่วยย่อยสลายให้เป็นปุ๋ยหมักเร็วขึ้น หรือบางครั้งก็นำไปทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากการใช้สารเร่ง
พด. 2 และใช้สารเร่ง พด. 7 หมักร่วมกับสมุนไพร
เพื่อใช้ป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช
|
|
การคลุมแปลงผักด้วยหญ้าแฝก
|
|
|
กองปุ๋ยหมักหญ้าแฝกแบบไม่กลับกอง
|
กลุ่มเกษตรกรและหมอดินดอยอาสาทำ |
เกษตรกรกระทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
หลังการเก็บผักแต่ละรุ่น เกษตรกรจะสับกลบเศษผักและเศษใบหญ้าแฝกที่คลุมอยู่
คลุกเคล้าลงในดินพร้อมด้วยปุ๋ยหมักที่ทำจากหญ้าแฝก
เพื่อเตรียมแปลงไว้ในการจะปลูกผักรุ่นต่อไป
|
|
การสับกลบหญ้าแฝกกับพืชตระกูลถั่วเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด
|
การปรับปรุงบำรุงดินโดยใส่ปุ๋ยหมักหญ้าแฝก
|
ในช่วงเวลาการปลูกผัก
เกษตรกรจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ผลิตได้ ซึ่งมีส่วนผสมของใบหญ้าแฝกหมักร่วมด้วยนั้น
นำไปรดหรือพ่น ให้ผักที่ปลูกทุกๆ 10 วัน ในรอบ 1 ปี จะมีการปลูกผักอินทรีย์จำนวน 4 รุ่น
|
การสับกลบหญ้าแฝกกับพืชตระกูลถั่วเพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด
|
ในช่วงปลายปี 2548 รศ.ดร.นุชนารถ จงเลขา
หัวหน้าศูนย์อารักขาพืช มูลนิธิโครงการหลวง ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่อารักขาพืช
ที่ประจำอยู่ที่แปลงสวนอินทรีย์ บ้านนอแล ตำบลม่อนปิน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
ได้สังเกตพบว่า จำนวนของด้วงหมัดผัก (Vegetable Flea beetle) มีจำนวนลดลง ด้วงหมัดผักมี 2 ชนิด คือ
ชนิดแถบลายสีน้ำตาลอ่อน และ ชนิดสีน้ำเงินเข้ม ทั้งสองชนิด ไข่
จะวางฟองเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มตามโคนต้น หรือเส้นกลางใบ และตามพื้นดิน ตัวอ่อน อาศัยในดิน ดักแด้ อาศัยในดิน
วงจรชีวิต 47 - 83 วัน เมื่อเป็น ตัวหนอน จะกินรากพืช และ
ตัวแก่ จะกัดกินใบจนเป็นรูพรุน พืชอาหาร ได้แก่ พืชตระกูลกะหล่ำ ผักกาดหัว
ผักกาดฮ่องเต้ และผักกาดที่มีกลิ่นฉุน
|
|
ชนิดแถบลายน้ำตาลอ่อน |
ชนิดสีน้ำเงินเข้ม |
|
|
ลักษณะใบพืชที่ด้วงหมัดผักเข้าทำลาย |
ลักษณะการอยู่เป็นกลุ่มของด้วง
ใต้ใบผัก |
บทสรุปและข้อเสนอ
การสังเกตพบว่าด้วงหมัดผัก
มีปริมาณลดลงหลังการปลูก และการใช้ประโยชน์จากใบหญ้าแฝกในหลายรูปแบบในครั้งนี้ ได้นำมารายงานเสนอต่อที่ประชุมโครงการหลวงให้ทราบในเบื้องต้นว่า
การลดลงของจำนวนประชากรของด้วงหมัดผักหรือด้วงกระโดดนั้น
อาจจะเกิดจากการที่แมลงชนิดนี้ไม่ชอบกลิ่นของราก ต้น ใบ
หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ จากหญ้าแฝกที่สะสมมาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา
2- 3 ปี
อย่างไรก็ตาม
ผู้เขียนเห็นว่า นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
หากเรื่องการเกิดประโยชน์จากการปลูกและใช้หญ้าแฝก จะเป็นเรื่องจริง
ก็จะสามารถใช้เป็นอีกชีววิธีหนึ่ง เพื่อการป้องกัน หรือกำจัดแมลงศัตรูพืชผัก
หรืออาจใช้ในพืชชนิดอื่นที่กว้างขวางออกไป ควรที่นักวิจัยจะได้ทำการทดลองวิจัย
เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุที่แน่ชัด
และในที่สุดยังจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝกให้แพร่หลาย
นอกจากนั้นจะช่วยให้การดำเนินงานตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
เกี่ยวกับการรณรงค์การใช้ประโยชน์หญ้าแฝก ในการป้องกันการชะล้างพังทะลายของดิน
การฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ให้ประสบผลสัมฤทธิ์
ได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปอย่างยั่งยืน